Featured News
Posts List
Posts Slider
Health
-
ประจำเดือน มาผิดปกติสังเกตอย่างไร
ประจำเดือน มาผิดปกติเกิดจากสาเหตุอะไร และจะสังเกตอย่างไร
ประจำเดือน คือเลือดและเนื้อเยื่อบุโพรงมดลูกที่หลุดออกมาทุกรอบเดือนของผู้หญิง ซึ่งจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน ส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นทุก 21-35 วัน แต่ละรอบจะอยู่นาน 3-7 วัน การที่เราต้องมีการสร้างเนื้อเยื่อโพรงมดลูกใหม่เสมอก็เพื่อให้พร้อมต่อการฝังตัวของตัวอ่อน จึงทำให้เกิดวงโคจรของประจำเดือนแบบนี้ขึ้นมา ซึ่งก็จะขึ้นๆ ลงๆ ตามระดับของฮอร์โมนเพศด้วย โดยปกติสีประจำเดือนก็จะเปลี่ยนไปไม่เหมือนกันในแต่ละครั้งแต่ละเดือนอยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับความเก่าใหม่ของเลือด
ประจำเดือน มาผิดปกติมีสาเหตุจากอะไร
สิ่งที่เราควรสังเกตเกี่ยวกับประจำเดือน
- ปริมาณเลือดที่ออก ตามปกติเลือดที่ออกมาจะมีปริมาณไม่มากนัก แต่หากท่านใดพบว่าต้องเปลี่ยนผ้าอนามัยทุก 2 ชม. อันนี้คือปริมาณเลือดออกมาเยอะจนเกินไปอาจมีความผิดปกติแนะนำให้มาตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนรีเวช
- เลือดที่ออกมามีลักษณะเป็นก้อนเลือด เป็นลิ่มๆ สีแดงสด แดงเข้ม แดงคล้ำ อันนี้อาจเกิดความผิดปกติเช่นกันแนะนำให้มาตรวจกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับนรีเวช
- ความสม่ำเสมอของรอบเดือน ที่ต้องมาทุก 21-35 วัน ไม่มาเร็วกว่า 21 วัน หรือมาช้ากว่า 35 วัน
สาเหตุของประจำเดือนที่ผิดปกติ
- ความเครียด ความวิตกกังวล
- อาหาร การอดอาหาร น้ำหนักที่เพิ่มหรือลดลงเร็วเกินไป
- การรับประทานยาคุมกำเนิด
- การเจ็บป่วยทางนรีเวช เช่น เนื้องอกในมดลูก ติ่งเนื้อในโพรงมดลูก โรคถุงน้ำในรังไข่ การตั้งครรภ์ ภาวะไข่ล้มเหลวก่อนวัยอันควร
เลือดออกผิดปกติแบบไหนที่ต้องระวังมากเป็นพิเศษ
- เลือดออกมากหลังมีเพศสัมพันธ์ เสี่ยงเป็นมะเร็งปากมดลูก
- ประจำเดือนขาดเกิน 3 เดือน(ไม่ท้อง) เสี่ยงเป็นไข่ไม่ตกเรื้อรัง ไทรอยด์
- เลือดออกกระปริดกระปรอย ไม่เป็นรอบ เสี่ยงเป็น มะเร็งปากมดลูก
10 ของกินบำรุงลดปวดประจำเดือนแบบไม่ต้องกินยา
1.น้ำขิง
ในวันที่ปวดประจำเดือน ได้จิบน้ำขิงร้อนๆ ทีนี่แทบจะหายเป็นปลิดทิ้งเลย เพราะว่าขิงเป็นสมุนไพรแก้ปวดท้องประจำเดือนที่มีรสเผ็ดร้อน จึงช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดี และช่วยบรรเทาอาการเกร็งของกล้ามเนื้อเหมือนได้ใช้กระเป๋าน้ำร้อนประคบเลยทีเดียว นอกจากจะลดปวดประจำเดือนแล้ว ขิงยังช่วยบำรุงร่างกายให้ประจำเดือนมาปกติได้อีกด้วย ถ้าใครไม่ชอบดื่มน้ำขิงเปล่าๆ จะเติมบัวลอยลงไปกินคู่กัน เพิ่มระดับน้ำตาลให้อารมณ์ดีก็สามารถตามไปดูสูตร บัวลอยน้ำขิงได้
2. กล้วยหอม
กล้วยหอมเป็นหนึ่งในผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 6 และโพแทสเซียม ที่ช่วยลดอาการปวดเกร็งท้องน้อยและหน้าอก และลดอาการบวมน้ำ นอกจากลดอาการปวดแล้วยังช่วยรักษาสมดุลของฮอร์โมนซึ่งเป็นการป้องกันอาการปวดประจำเดือนได้ด้วย
3. สับปะรด
สับปะรดเป็นผลไม้ที่เหมาะสำหรับคนมีประจำเดือนเป็นที่สุด เพราะมีทั้งเอนไซม์โบรมีเลนช่วยผลัดเยื่อบุโพรงมดลูกให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และมีแมงกานีส ที่ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ จึงช่วยให้ลดอาการปวดเกร็งได้นั่นเอง นอกจากนี้รสชาติเปรี้ยวอมหวานยังช่วยให้อารมณ์ดีอีกด้วย
4. ชาคาโมมายล์
หลายๆ คนอาจเคยได้ยินมาว่าชาคาโมมายล์เป็นเครื่องดื่มยอดฮิตสำหรับคนหลับยาก แต่ชาคาโมมายล์ก็เป็นอีกหนึ่งเครื่องดื่มร้อนที่มีคุณสมบัติบรรเทาอาการปวดและความวิตกกังวลได้เป็นอย่างดีสำหรับคนเป็นประจำเดือน เพราะคาโมมายล์เป็นสมุนไพรแก้ปวดท้องประจำเดือนที่มีฤทธิ์แก้อักเสบ แก้อาการกระสับกระส่าย และช่วยให้ผ่อนคลาย อีกทั้งเครื่องดื่มร้อนยังช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียนดีด้วย
5. น้ำเต้าหู้
ถือเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนรักสุขภาพที่ดีต่อร่างกายมากๆ เพราะมีไฟโตเอสโตรเจนเลียนแบบฮอร์โมนเพศหญิงชื่อไอโซฟลาโวน ที่ช่วยให้ประจำเดือนมาปกติ และช่วยป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากจะดี ในช่วงมีประจำเดือนแล้ว ยังเป็นอาหารบำรุงร่างกายชั้นเยี่ยมสำหรับวัยหมดประจำเดือน
6. ผักใบเขียว
ผักใบเขียวอย่างผักโขมหรือปวยเล้ง ก็สามารถช่วยลดปวดประจำเดือนได้เหมือนกัน เพราะว่ามีแมกนีเซียม วิตามินบี 6 และวิตามินอีสูง ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยลดอาการปวดเกร็งได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์สูงจึงช่วยในเรื่องระบบขับถ่าย ทั้งท้องผูกท้องอืดในช่วงมีประจำเดือนได้อีกด้วย ถ้าใครอยากกินอะไรร้อนๆ แก้ปวดท้องน้อย ก็สามารถทำอาหารแก้ปวดท้องประจำเดือนอย่างต้มจืดปวยเล้งหมูเด้ง มาบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้
7. ดาร์กช็อกโกแลต
นอกจากการกินช็อกโกแลตจะทำให้อารมณ์ดีแล้ว ในดาร์กช็อกโกแลตยังอุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่ช่วยคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดประจำเดือน และช่วยกระตุ้นการหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน ที่ช่วยลดความเครียด และช่วยให้ผ่อนคลาย ทำให้เราไม่รู้สึกว้าวุ่นใจระหว่างวัน
8. มะละกอ
มะละกอก็เป็นผลไม้อีกหนึ่งชนิดที่อุดมไปด้วยสารอาหาร ไม่ว่าจะเป็น แคโรทีน แคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี และธาตุเหล็ก ที่ช่วยบำรุงร่างกายในช่วงเป็นประจำเดือนที่สูญเสียธาตุเหล็กไป นอกจากนี้มะละกอยังช่วยผลัดเซลล์ผิว จึงลดสิวที่เกิดจากความมันส่วนเกินและการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนได้อีกด้วย
9. ปลาแซลมอน
ปลาเนื้อส้มที่มีคุณประโยชน์มากมายแถมช่วยลดอาการปวดประจำเดือน เพราะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 วิตามินบี 6 และวิตามินดี มีทริพโตเฟน กรดอะมิโนที่ช่วยควบคุมระดับเซเรโทนิน ลดระดับความเครียดและวิตกกังวล และทำงานร่วมกับกรดโฟลิกและธาตุเหล็กในการสร้างเม็ดเลือดแดง นอกจากนี้ยังสามารถนำไปรังสรรค์อาหารแก้ปวดท้องประจำเดือนได้หลากหลายเมนู อย่าง แซลมอนซอสมะขาม ที่อร่อยคลีนได้ประโยชน์เต็มๆ
10. น้ำอุ่น
อาจฟังดูธรรมดา แต่น้ำอุ่นเป็นตัวช่วยลดปวดประจำเดือนได้เป็นอย่างดี การที่ปวดเกร็งท้องน้อยเกิดจากการบีบตัวของมดลูกเพื่อขับเลือดออกมา เพราะฉะนั้นการดื่มน้ำอุ่นที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี จึงช่วยลดการบีบตัวที่ทำให้ปวดท้องน้อยนั่นเอง นอกจากนี้การดื่มน้ำอุ่นยังช่วยขับสารพิษ พร้อมรักษาระดับน้ำในร่างกายไม่ให้เราขาดน้ำระหว่างวันด้วย
ปวดท้องประจำเดือน แบบไหนที่ควรพบแพทย์ทันที
อย่ามองข้ามอาการปวดท้องน้อย หรือประจำเดือนที่ผิดปกติ เพราะอาจเป็นสัญญาณเตือนสู่ปัญหาเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ช็อกโกแลตซีสต์ ท่อน้ำไข่อุดตัน เนื้องอกมดลูก
- ปวดท้องประจำเดือนมากขึ้นเรื่อยๆ ในทุกๆ เดือน ซึ่งอาจสังเกตจากการที่ต้องใช้ยาแก้ปวดมากขึ้น
- รับประทานยาแก้ปวดแล้วแต่ยังไม่ทุเลาปวด และยังคงมีอาการปวดประจำเดือนมากขึ้น
- ปวดท้องมากจนรบกวนชีวิตประจำวัน
- รู้สึกปวดท้องน้อยถึงแม้ไม่ใช่ช่วงที่มีประจำเดือน
- ประจำเดือนมีปริมาณมากกว่าปกติ สังเกตจากการใช้ผ้าอนามัยเยอะขึ้น
- มีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ ถ่ายเหลว บางครั้งอาจปวดท้องมากจนเหงื่อไหล บางคนอาจมีไข้ระหว่างปวดประจำเดือนร่วมด้วย
การตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก เป็นมะเร็งที่พบได้ในผู้หญิง ที่เกิดจากความผิดปกติของเซลล์ที่เกิดขึ้นบริเวณปากมดลูก ซึ่งสามารถตรวจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ เลย หากได้รับการตรวจคัดกรองตามคำแนะนำของแพทย์ เพราะมะเร็งปากมดลูกในระยะเริ่มแรกมักไม่ค่อยมีสัญญาณ ทำให้เมื่อมีอาการก็มักจะเป็นในขั้นรุนแรงแล้ว มะเร็งปากมดลูกส่วนใหญ่จะเกิดจากการติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (Human Papollpmavirus) ที่มีอยู่หลายสายพันธุ์ แต่สายพันธุ์หลักๆ ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อบริเวณอวัยวะเพศของทั้งผู้ชายและผู้หญิงนั่นก็คือ สายพันธุ์ 16 และ 18
วิธีตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกในปัจจุบันนี้มีอยู่ 3 วิธี นั่นก็คือ
1. วิธีการตรวจมะเร็งปากมดลูกแปปเสมียร์ (Pap smear) เป็นการตรวจที่แพทย์จะใช้ไม้พายเก็บเนื้อเยื่อบริเวณปากมดลูก ก่อนนำไปตรวจในห้องปฏิบัติการ วิธีนี้เป็นวิธีที่ใช้กันมานาน เป็นวิธีการตรวจที่ราคาไม่สูง แต่ด้านความแม่นยำอาจไม่มากนัก อยู่ที่ประมาณ 50 %
2. วิธีการตรวจมะเร็งปากมดลูกตินเพร็พ (ThinPrep) วิธีนี้พัฒนามาจากวิธีแปปเสมียร์ มีประสิทธิภาพและความแม่นยำอยู่ที่ประมาณ 90-95% โดยเก็บเซลล์บริเวณปากมดลูกด้วยอุปกรณ์เฉพาะ จากนั้นใส่ลงในขวดน้ำยาตินเพร็พ ก่อนส่งตรวจผลในห้องปฏิบัติการ
3. วิธีการตรวจมะเร็งปากมดลูกตินเพร็พ (ThinPrep) + การตรวจหาเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV DNA Test) เป็นการตรวจที่เชื่อว่าดีที่สุด เพราะเป็นการตรวจหาเซลล์มะเร็งปากมดลูกร่วมกับตรวจดีเอ็นเอของเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งปากมดลูก ร่วมกับการเจาะลึกให้มากขึ้นว่ามีการติดเชื้อ HPV สายพันธุ์ที่ 16 และ 18 หรือไม่ ซึ่งถ้าไม่มีการติดเชื้อก็สามารถมั่นใจได้ถึง 99 % ว่าในช่วง 1-2 ปีที่รับการตรวจโอกาสเป็นมะเร็งปากมดลูกจะน้อยมาก
ความจริงแล้วในการตรวจมะเร็งปากมดลูกก็ไม่ได้ต้องเตรียมตัวอะไรกันมาก แค่เตรียมร่างกายและจิตใจให้พร้อม คุณหมอบอกว่าช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการตรวจ คือช่วง 10-20 วันหลังจากมีประจำเดือน นั่นหมายความว่าเมื่อเรานับจากวันแรกที่มีประจำเดือนเป็นวันที่ 1 และนับต่อไปอีกสิบวันจนวันที่ 11 ถึงวันที่ 20 ช่วงนี้ร่างกายจะมีความสะอาดมาก ซึ่งทำให้มีค่าเบี่ยงเบนน้อย จึงเหมาะกับการตรวจคัดกรอง แต่อย่างไรก็ตาม การเข้ามาพบแพทย์เพื่อทำการตรวจคัดกรองนี้สามารถทำได้ทุกเวลา ยกเว้นเพียงแค่ช่วงมีประจำเดือนเท่านั้น
อาการปวดประจำเดือน สามารถบรรเทาอาการให้ดีขึ้นได้ง่ายๆ ด้วยการกินอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย และดื่มน้ำให้เพียงพอ นอกจากการกินอาหารให้ถูกชนิดจะช่วยลดอาการปวดประจำเดือนได้แล้ว ก็ยังมีอีกหลายวิธีที่สามารถช่วยบรรเทาอาการได้ ไม่ว่าจะเป็นการนวดและวิธีอื่นๆ แต่ถ้ายังไม่ดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าเรากำลังเผชิญกับอาการผิดปกติเกี่ยวกับระบบสืบพันธุ์ภายในอยู่ก็ได้ ดังนั้นหากมีอาการปวดที่มากกว่าปกติและมีอาการอื่นๆ ควรรีบพบแพทย์และตรวจคัดกรองเพื่อรักษาอาการได้อย่างทันท่วงที
ที่มา
- https://www.rama.mahidol.ac.th/
- https://www.wongnai.com/
- https://www.vimut.com/
- https://www.pexels.com/th-th/photo/5938358/
- https://www.pexels.com/th-th/photo/5938365/
ติดตามอ่านเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพได้ที่ wallysracephotos.com สนับสนุนโดย ufabet369
Economy
-
ไทยต้องขึ้น ดอกเบี้ย เร็วและแรงแค่ไหน
ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา นานาประเทศนำโดยสหรัฐอเมริกา เร่งปรับขึ้นอัตรา ดอกเบี้ย นโยบายเพื่อสู้กับปัญหาเงินเฟ้อ ธนาคารกลางแห่งสหรัฐฯ หรือเฟด ซึ่งขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.75% สู่ระดับ 1.50-1.75% ถือเป็นการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดในคราวเดียวในรอบ 28 ปี นับแต่ปี 1994 ธนาคารกลางทั้งในอังกฤษและอินเดียต่างก็ปรับอัตราดอกเบี้ยตนเองขึ้นเช่นเดียวกัน
เฟดมีมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยในระยะข้างหน้าว่า จะแตะระดับ 3.4% ในช่วงสิ้นปีนี้ ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีก 1.75% ในช่วงที่เหลือของปี โดยยังเหลือการประชุมอีก 4 ครั้งคือ ก.ค., ก.ย., พ.ย. และ ธ.ค. และคาดว่าอัตราดอกเบี้ยจะปรับตัวขึ้นไปที่ 3.8% ในสิ้นปี 2566 ก่อนที่จะชะลอตัวมาที่ระดับ 3.4% ในปี 2567
อย่างไรก็ดี อัตราเงินเฟ้อที่ยังทะยานขึ้น ทำให้เฟดส่งสัญญาณว่าจะขึ้นดอกเบี้ยถึง 1% ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน วันที่ 27-28 ก.ค.
เมื่อกลับมามองที่ฝั่งไทย แบงก์ชาติส่งสัญญาณออกมาว่าจะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น และตลาดการเงินเองก็ตอบรับและเห็นด้วยกับการขยับครั้งนี้
ปรับขึ้น ดอกเบี้ย แต่ขึ้นแค่ไหน
ดร.จิติพล พฤกษาเมธานันท์ นักกลยุทธ์การลงทุน บลจ.ยูโอบี (ประเทศไทย) จำกัด บอกบีบีซีไทยว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ของไทย น่าจะปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น 0.50% ในการประชุมวันที่ 10 ส.ค.ที่จะถึงนี้ เนื่องจำนวนการประชุมมีระยะห่าง “เวลาทำอะไรต้องมีนัยสำคัญ”
ดอกเบี้ยนโยบายของไทยอยู่ที่ 0.25% มาตั้งแต่ 20 พ.ค. 2563 โดยในปีนั้น กนง. มีมติลดดอกเบี้ยถึง 3 ครั้ง ๆ ละ 0.25% เพื่อช่วยลดผลกระทบจากการควบคุมการระบาดของโควิด-19 และเพื่อให้สอดรับกับมาตรการด้านการคลัง การเงินและสินเชื่อของรัฐบาลที่ออกไปก่อนหน้านี้
ถัดจากการแถลงผลประชุมในวันที่ 10 ส.ค. นี้ กนง.จะมีประชุมและแถลงอีก 2 ครั้งในปีนี้ คือ 28 ก.ย. และ 30 พ.ย.
ดร.จิติพล อธิบายถึงสาเหตุสำคัญของการต้องขึ้นดอกเบี้ยว่า ปัญหาเงินเฟ้อของไทยในปัจจุบันเกิดขึ้นจากราคาพลังงานเป็นหลัก ยิ่งเมื่อไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมันและราคาสูงขึ้นถึง 100% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า จึงไม่แปลกที่ราคาสินค้าและบริการจะปรับตัวสูงขึ้นด้วย
เขาอธิบายว่าอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเพราะต้นทุนเช่นนี้ ทำให้การปรับขึ้นดอกเบี้ยของแบงก์ชาติช่วยอะไรมากไม่ได้ เพราะ “ขึ้นไปน้ำมันก็ไม่ลง”
แต่สาเหตุที่แบงก์ชาติจำเป็นต้องขึ้นเพราะหากปล่อยให้ไปโดยไม่ทำอะไรเลย “ก็จะเกิดวิกฤตศรัทธาต่อแบงก์ชาติอีก”
กนง. คือ ใคร
ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือ แบงก์ชาติ มีหน้าที่รักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของประเทศโดยใช้นโยบายการเงิน ซึ่งมีเครื่องมือที่สำคัญ คือ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายผ่าน คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงของ ธปท. 3 คน และกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก 4 คน ประชุมกันปีละ 8 ครั้ง เพื่อลงมติตัดสินระดับของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมกับภาวะและแนวโน้มของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ
ธปท. หรือแบงก์ชาติ อธิบายว่า หาก กนง. ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ
อัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินและของธนาคารพาณิชย์จะปรับลดลงตาม ทั้งในส่วนของดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้
อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงทำให้ผู้ประกอบการมีแรงจูงใจที่จะกู้ยืมเพื่อลงทุนมากขึ้น
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ต่ำลงจะลดแรงจูงใจของประชาชนที่จะนำเงินมาฝากออมไว้กับธนาคาร และอาจนำเงินเหล่านั้นไปจับจ่ายใช้สอยแทน
ธปท. สรุปว่า “อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงจึงช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ตรงกันข้าม หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับสูงขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจก็จะมีแนวโน้มชะลอลง”
ดอกเบี้ยขึ้น คนเป็นหนี้ลำบากขึ้น
ผู้เชี่ยวชาญที่คุยกับบีบีซีไทยต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมื่อมีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย กลุ่มประชาชนที่มีหนี้สูงจะต้องแบกภาระมากขึ้น ยิ่งเมื่อสัดส่วนหนี้ครัวเรือนล่าสุดของประเทศไทยขยับขึ้นมาอยู่ที่ 90.1% ต่อจีดีพี หรือคิดเป็นมูลค่าหนี้ 14.3 ล้านล้านบาท นโยบายมหภาคนี้จะส่งผลกระทบโดยตรงกับเงินในกระเป๋าประชาชนอย่างแน่นอน
ดร.จิติพล ยกตัวอย่างว่า หากคนทุกคนมีหนี้เท่ากันหมดตามตัวเลขจากหนี้ครัวเรือจน การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายก็เหมือน “เราโดนภาษีขึ้นมา” ตามตัวเลขที่แบงก์ชาติจะขึ้น เนื่องจากธนาคารพาณิชย์มักปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นในระดับเดียวกับดอกเบี้ยนโยบาย ด้วยเหตุนี้ “ใครก็ตามที่กู้เยอะๆ ถ้าซื้อบ้านสองหลัง มีหนี้ 200% – 300% ของจีดีพี อาจต้องขายสินทรัพย์ตัวเอง”
ดร.กำพล เสริมว่า สภาวะดังกล่าวจะให้ประชาชนมีอำนาจในการใช้จ่ายได้น้อยลง เพราะหนี้มีมูลค่าสูงขึ้น ขณะที่ค่าจ้างก็โตไม่ทันเงินเฟ้อ จนทำให้ประชาชนมีรายรับรวมน้อยลง สิ่งนี้ส่งผลกับภาคเอกชนในมิติที่คล้ายคลึงกัน คือมีต้นทุนในการผลิตสูงขึ้นยิ่งถ้าต้องไปกู้ยืมเงินมาเพื่อลงทุน ภาคการลงทุนเองก็อาจจะชะลอลงไปจากประเด็นดังกล่าว เพราะประเมินว่าได้ไม่คุ้มเสีย
ล่าสุด เมื่อ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังยอมรับในงานสัมมนาวิชาการ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานภาคใต้ ประจำปี 2565 ว่าเงินเฟ้อได้ส่งผลกระทบต่อครัวเรือนที่เปราะบาง และบอกเป็นนัยถึงทิศทางที่ กนง. จะตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย
ดอลลาร์แข็ง-บาทอ่อน ต้นเหตุของการปรับ ดอกเบี้ย
สิ่งที่เชื่อมโยงกันมาจากสภาพเศรษฐกิจโลก-ไทย ตอนนี้ คือประเด็นเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นมาเหนือสกุลเงินยูโรเป็นครั้งแรกในรอบ 20 ปี สถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อสกุลเงินทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย
กลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ / 32.1 บาท ปัจจุบันตัวเลขขึ้นมาในระดับ 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ / 36 บาท แล้ว
อย่างไรก็ดี ดร.กำพล ย้ำว่า “วันนี้ดอลลาร์แข็งมาก ถ้าเทียบกับดอลลาร์ ก็อ่อนทุกประเทศอยู่แล้ว” ด้วยเหตุนี้ เพื่อสะท้อนสถานการณ์เงินบาทอย่างแท้จริง จึงควรเทียบกับสกุลเงินของประเทศคู่ค้าอื่นของไทยด้วย
ส่วนประเด็นว่าเงินบาทอ่อนใครได้ใครเสีย ผู้เชี่ยวชาญทุกคนเห็นตรงกันว่าย่อมมีคนได้คนเสียในกรณีนี้อยู่แล้ว โดยในกรณีที่บาทอ่อนเช่นนี้ก็จะส่งผลดีกับฝั่งผู้ส่งออกและภาคการท่องเที่ยว เพราะสินค้าหรือบริการของไทยมีราคาถูกในสายตาของผู้บริโภคที่ถือเงินสกุลที่แข็งกว่า จึงทำให้สินค้าและบริการของไทยเป็นที่ต้องการ ผู้ประกอบการขายสินค้าหรือบริการได้เยอะขึ้น
ในทางตรงกันข้าม ต้นทุนการนำเข้าสินค้าของไทยจะสูงขึ้น เนื่องจากค่าเงินของเราอ่อนลง สิ่งนี้อาจส่งผลเป็นงูกินหางกลับมาที่ประเด็นเงินเฟ้ออีกได้ เพราะอย่างที่บอกว่าไทยเป็นประเทศนำเข้าน้ำมัน หากต้นทุนในการนำเข้าน้ำมันสูงขึ้นก็จะกระทบต่อเป็นลูกโซ่
“ผมว่าแบงก์ชาติเขาดูระหว่างการเติบโตของเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ ถ้าวันนี้เขาจัดการเงินเฟ้อให้บาทแข็ง แล้วบาทเราแข็งกว่าคนอื่น การท่องเที่ยวก็กระทบ” ดร.กำพล วิเคราะห์
ย้อนจุดยืนแบงก์ชาติไทยเรื่อง ดอกเบี้ย
ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของไทยอยู่ในระดับสูงถึง 7.66% และมีแนวโน้มจะปรับสูงขึ้นอีก ไทยนั้นถือว่าอยู่ในกลุ่มประเทศที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายต่ำมาก และปรับอัตราดอกเบี้ยช้าที่สุด โดยยังไม่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นเลยในปีนี้ โดยมติที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 8 มิ.ย. กำหนดให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5%
ธนาคารแห่งประเทศไทย หรือแบงก์ชาติ ได้ส่งสัญญาณชัดเจนแล้วว่าเตรียมจะปรับขึ้นดอกเบี้ยเพื่อสกัดเงินเฟ้อ แต่จะปรับขึ้นอย่างช้า ๆ เพื่อไม่ให้กระทบเศรษฐกิจไทยที่อยู่ช่วงต้นของการฟื้นตัวจากโควิด-19
เคเคเค รีเสิร์ช โดยเกียรตินาคินภัทร วิเคราะห์ว่า จากกระแสขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางทั่วโลก และความล่าช้าของนโยบายการเงินไทย บวกกับค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนลงต่อเนื่อง คาดการณ์ว่าธนาคารกลางแห่งประเทศไทยอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% เป็น 1% ในการประชุม กนง. ที่จะมีขึ้นวันที่ 10 ส.ค.
ด้านศาสตราจารย์ อาร์ทูโร บริส ผู้อำนวยการศูนย์ความสามารถในการแข่งขันโลก สถาบันการศึกษาด้านการบริหารธุรกิจ (IMD World Competitiveness Center) ที่จัดทำรายงานการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขัน หรือ IMD World Competitiveness Ranking มองว่า มาตรการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพื่อแก้ปัญหาเงินเฟ้อ “เป็นมาตรการเดียวที่ทำได้ในตอนนี้ ไม่ใช่แค่ไทย แต่ทั่วโลก”
ข่าวอื่นๆที่เกี่ยวข้อง
เกาหลีใต้และสหรัฐอเมริกา ความสำเร็จในการประชุมสุดยอดปี
โกเร็ตซ์ก้า ยังอยู่ในทีมบาเยิร์น มิวนิค
ประจำเดือน มาผิดปกติสังเกตอย่างไร
De Vries ของ AlphaTauri: เขาสามารถเปลี่ยนฤดูกาล F1
ติดตามข่าวอื่นๆได้ที่ https://www.wallysracephotos.com/
สนับสนุนโดย ufabet369
ที่มา www.bbc.com
Latest News
คำแนะนำMLS เบล ต่อเมสซี่’พวกเขายอมรับการสูญเสียมากกว่านี้’
นักเตะชื่อดัง เบล ออกมาให...
ชไวน์สไตเกอร์ มองเป๊ป มีส่วนบั่นทอนคุณค่าฟุตบอลเยอรมัน
ชไวน์สไตเกอร์ มองเป๊ป มีส...
อดีตนักแข่ง F1 รวมตัวกันเพื่อจำกัดเส้นทางธรรมชาติที่ Red Bull
อดีตนักแข่ง F1 รวมตัวกันเ...